การบริโภคผักและผลไม้เป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เพราะเป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารและวิตามินที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ แต่ในปัจจุบัน การผลิตผักและผลไม้ต้องเผชิญกับปัญหาศัตรูพืชที่ทำลายผลผลิต จึงทำให้เกษตรกรหลายรายใช้สารเคมีในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีในกระบวนการเกษตรทำให้เกิดสารตกค้างในผลผลิต ซึ่งสารเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหากมีปริมาณมากเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด
สารพิษตกค้างในผักผลไม้ได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญในสังคมไทย เนื่องจากมีการตรวจพบสารเคมีในผลไม้บางชนิดเกินกว่าค่าที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังมีการตรวจพบว่าผักหลายชนิดในตลาดมีสารเคมีที่ไม่สามารถล้างออกได้ทั้งหมด เช่น พริก มะเขือเทศ และคะน้า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจปัญหาสารพิษตกค้างในผักผลไม้มากขึ้น
ความปลอดภัยของอาหารกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจ หน่วยงานด้านสุขภาพและเกษตรได้พยายามพัฒนามาตรฐานในการตรวจสอบและควบคุมสารเคมีที่ใช้ในภาคการเกษตร ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการบริโภคผักและผลไม้ได้อย่างปลอดภัย บทความนี้จะพาผู้อ่านสำรวจรายละเอียดของสารพิษตกค้างในผักผลไม้ ผลกระทบต่อสุขภาพ วิธีการป้องกัน รวมถึงมาตรการที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากสารพิษตกค้าง
ความหมายของ “สารพิษตกค้างในผักผลไม้”
สารพิษตกค้างในผักและผลไม้หมายถึง สารตกค้างในอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร และให้หมายความรวมถึงกลุ่มอนุพันธ์ของวัตถุอันตรายทางการเกษตรนั้นได้แก่ สารจากกระบวนการเปลี่ยนแปลง (conversion products) สารจากกระบวนการสร้างและสลาย (metabolites) สารจากการทำปฏิกริยา (reaction products) และสารที่ปนอยู่ในวัตถุอันตรายทางการเกษตร (impurities) ที่มีความเป็นพิษอย่างมีนัยสำคัญ
ในประเทศไทย มีการใช้สารเคมีที่แตกต่างกันกว่า 280 ชนิดในการเกษตร แต่เฉพาะประมาณ 10% ของสารเคมีเหล่านี้ที่สามารถตรวจพบได้ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งหมายความว่ายังมีสารอีกหลายชนิดที่อาจคงตกค้างอยู่ในผลผลิต แต่ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการตรวจมาตรฐาน
ตัวอย่างของสารเคมีที่พบในผลผลิตเกษตร ได้แก่:
- พาราควอต: เป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีอันตรายสูงและถูกห้ามใช้ในหลายประเทศ แต่ยังพบตกค้างในผลผลิตบางส่วน
- คลอร์ไพริฟอส: สารกำจัดแมลงที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทและระบบฮอร์โมน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากสะสมในร่างกาย
- ไกลโฟเสต: สารกำจัดวัชพืชที่แม้จะถูกใช้ทั่วไปแต่ก็มักเป็นประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว
สารเคมีเหล่านี้มีประโยชน์ในการปกป้องผลผลิตและเพิ่มผลผลิตของเกษตรกร แต่อาจส่งผลเสียหากไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการบริโภคสารเคมีตกค้างในผลผลิต รวมถึงเกษตรกรที่ได้รับสารเคมีจากการใช้ด้วย
สถานการณ์ปัจจุบันในไทยและต่างประเทศเกี่ยวกับ “สารพิษตกค้างในผักและผลไม้”
ปัจจุบันในประเทศไทย ปัญหาสารพิษตกค้างในผักผลไม้ยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญและได้รับความสนใจอย่างมาก มีการตรวจสอบจากหลายหน่วยงานที่พบว่าผักและผลไม้หลายชนิดมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น การตรวจสอบโดย Thai-PAN (Thai Pesticide Alert Network) ซึ่งพบสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ที่จำหน่ายในตลาดและห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง เช่น คะน้า พริก มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว และองุ่นที่นำเข้าจากต่างประเทศ สารเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะหากบริโภคในปริมาณที่มากและต่อเนื่อง
แม้ประเทศไทยจะมีกระบวนการตรวจสอบตามมาตรฐาน แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการบังคับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่การควบคุมการใช้สารเคมียังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ปัญหาคือการใช้สารเคมีที่ต้องห้ามยังคงมีอยู่ และการควบคุมคุณภาพในระดับท้องถิ่นอาจยังขาดประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการตกค้างของสารพิษในผลผลิตบางชนิด ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งพัฒนามาตรการและระบบการตรวจสอบเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีข้อจำกัดในการตรวจสอบและควบคุมสารเคมีบางชนิดที่ยังคงใช้ในการเกษตร เช่น พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส แม้จะมีการห้ามใช้ แต่ยังพบการตกค้างในผลิตผลบางชนิด ทำให้เกิดคำถามถึงความเข้มงวดของการควบคุมและการบังคับใช้กฎหมาย
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ หลายประเทศมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น โดยสหภาพยุโรปกำหนดมาตรฐานระดับสารพิษตกค้างในอาหารอย่างเข้มงวดและห้ามใช้สารเคมีบางชนิดอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืน ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีระบบตรวจสอบสารตกค้างที่เข้มงวด พร้อมทั้งเน้นการส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ชีวภัณฑ์และการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีเป็นทางเลือกในการเพาะปลูก
ในภาพรวม ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีแนวโน้มที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเกษตรปลอดสารพิษมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการพึ่งพาสารเคมีในภาคการเกษตร ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ตระหนักถึงปัญหานี้และหันมาเลือกบริโภคสินค้าที่มีความปลอดภัยสูงกว่า เช่น ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก เป็นต้น
ผลกระทบของสารพิษตกค้างต่อสุขภาพ
สารพิษตกค้างในผักและผลไม้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้หลายด้าน โดยขึ้นอยู่กับประเภทและปริมาณของสารพิษที่สะสมในร่างกาย หากบริโภคสารเคมีตกค้างในปริมาณสูงหรือต่อเนื่องในระยะยาว อาจส่งผลเสียที่รุนแรงได้ทั้งต่อระบบประสาท ภูมิคุ้มกัน และระบบอื่น ๆ ในร่างกาย
- ผลกระทบระยะสั้น: การได้รับสารพิษตกค้างในปริมาณมากทันทีสามารถทำให้เกิดอาการเฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะ ซึ่งมักเป็นอาการของการได้รับสารพิษจากสารฆ่าแมลงประเภทที่กระทบต่อระบบประสาท เช่น คลอร์ไพริฟอสและพาราควอต สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้หากสัมผัสโดยตรงหรือรับประทานในปริมาณสูง
- ผลกระทบระยะยาว: หากสารพิษตกค้างสะสมในร่างกายจากการบริโภคระยะยาว อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ และระบบประสาทอย่างถาวร สารเคมีบางชนิด เช่น ไกลโฟเสต มีผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง นอกจากนี้ การได้รับสารเคมีประเภทนี้ในปริมาณน้อยๆ แต่ต่อเนื่องสามารถส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยที่มีความไวต่อสารเคมี เช่น วัยเด็กและวัยรุ่น เนื่องจากสารพิษเหล่านี้อาจรบกวนระบบฮอร์โมนและการพัฒนาของสมอง
- ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง: เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากสารพิษตกค้างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาอ่อนแอกว่า นอกจากนี้ การได้รับสารเคมีบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติในทารกที่กำลังพัฒนาในครรภ์ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน
วิธีการตรวจสอบและมาตรฐานความปลอดภัยของ สารพิษตกค้างในผักและผลไม้
การตรวจสอบสารพิษตกค้างในผักและผลไม้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอาหารที่ผู้บริโภคบริโภคให้ความสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารพิษตกค้างในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มาตรฐานในการตรวจสอบสารพิษตกค้างมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยในประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการตรวจสอบและกำหนดมาตรฐานคือสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำหนดมาตรฐานสารพิษตกค้างไว้ภายใต้ข้อกำหนดของมาตรฐาน MRL (Maximum Residue Limit) หรือระดับสารพิษตกค้างสูงสุดที่ยอมรับได้
- ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด Maximum Residue Limit (MRL): MRL คือปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่มีได้ในอาหาร ระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารเคมีที่อนุญาตให้มีตกค้างในอาหารโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารตกค้างเกินมาตรฐานออกสู่ตลาด การกำหนด MRL ขึ้นอยู่กับการทดสอบและประเมินความเสี่ยงจากสารเคมีแต่ละชนิด หากพบว่าผลผลิตใดมีสารตกค้างเกิน MRL จะถือว่าไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค
- วิธีตรวจสอบสารตกค้างก็มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย: ในการตรวจสอบสารพิษตกค้าง หน่วยงานต่าง ๆ ใช้เทคนิคการตรวจวัดที่หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์ด้วยวิธีโครมาโตกราฟี (Chromatography) และสเปกโตรสโกปี (Spectroscopy) ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจพบสารเคมีตกค้างในระดับที่น้อยมากได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการคัดกรองสารพิษที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ อีกทั้งยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มความไวในการตรวจวัด เช่น การใช้เซนเซอร์ทางชีวภาพที่สามารถตรวจพบสารเคมีในระดับโมเลกุล
วิธีลดความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างสำหรับผู้บริโภค
แม้ว่าสารพิษตกค้างในผักและผลไม้จะเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งหมด แต่มีหลายวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงได้เมื่อเราบริโภคผลผลิตเหล่านี้ ในปัจจุบันมีวิธีง่ายๆมากมายบอกเราตามอินเตอร์เน็ต โดยที่เราทุกคนสามารถทำได้เพื่อช่วยให้การบริโภคผักและผลไม้ปลอดภัยมากขึ้น
- ล้างผักผลไม้ให้สะอาด: การล้างผักผลไม้ด้วยน้ำไหลผ่านประมาณ 2-3 นาที ช่วยล้างสารเคมีที่อาจตกค้างบนผิวได้บางส่วน แต่ถ้าอยากให้มั่นใจมากขึ้น สามารถแช่ในน้ำเกลือ น้ำส้มสายชู หรือเบกกิ้งโซดาประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง ทั้งนี้ไม่ควรใช้สารล้างผักที่มีส่วนผสมของเคมี เพราะอาจเพิ่มสารตกค้างแทนการลดลง
- ปลอกเปลือกหรือปอกผักผลไม้ก่อนรับประทาน: เปลือกผักและผลไม้มักมีสารพิษตกค้างสะสมอยู่ การปอกเปลือกทิ้งจึงช่วยลดการรับสารเคมีได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผักผลไม้ที่ไม่มีสารตกค้างสูงอยู่แล้ว เพราะบางชนิด เช่น ส้ม กล้วย และมะเขือเทศ มีสารอาหารอยู่มากในส่วนเปลือก
- เลือกผักผลไม้ออร์แกนิกหรือผักปลอดสารพิษ: การเลือกซื้อผักผลไม้ที่ผ่านการรับรองว่าเป็นออร์แกนิกหรือปลอดสารเคมีจะลดโอกาสได้รับสารพิษตกค้างได้มากขึ้น แม้ราคาจะสูงขึ้น แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
- บริโภคผักผลไม้หลากหลายชนิด: การรับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดช่วยกระจายความเสี่ยงของการได้รับสารพิษตกค้างในปริมาณมากจากอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และทำให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่พบสารพิษตกค้างสูง: การเลือกบริโภคผักและผลไม้ที่มีแนวโน้มว่ามีสารพิษตกค้างน้อยกว่า เช่น บร็อคโคลี แครอท หรือมะม่วง ซึ่งจากการตรวจสอบของบางหน่วยงานพบว่ามักปลอดภัยกว่า จะช่วยลดโอกาสได้รับสารพิษตกค้างโดยรวมได้
สำหรับผู้ประกอบการ
การลดความเสี่ยงจาก สารพิษตกค้างในผักผลไม้ นอกจากเพิ่มความปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้บริโภคทานเข้าไปแล้ว ยังสร้างความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมากขึ้นโดยแนะนำดังนี้
- ใช้การทำเกษตรปลอดสารเคมีหรือเกษตรอินทรีย์: การเลือกใช้วิธีการปลูกแบบปลอดสารพิษหรือการทำเกษตรอินทรีย์ช่วยลดการใช้สารเคมีในกระบวนการเพาะปลูกอย่างมาก ส่งผลให้ผักและผลไม้มีความปลอดภัยสูงขึ้น ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์ยังสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- เลือกใช้สารเคมีที่มีความปลอดภัยและใช้ในปริมาณที่เหมาะสม: หากจำเป็นต้องใช้สารเคมี ควรเลือกใช้สารเคมีที่มีการรับรองความปลอดภัยและใช้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของผู้ผลิต ปฏิบัติตามมาตรฐานการเกษตรที่กำหนดและเว้นระยะการเก็บเกี่ยวตามข้อกำหนด เพื่อให้สารพิษตกค้างลดลงก่อนถึงผู้บริโภค
- ตรวจสอบสารพิษตกค้างเป็นประจำ: ผู้ประกอบการควรส่งตัวอย่างผลผลิตไปตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างในห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสอบนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าผลผลิตได้มาตรฐานความปลอดภัย และสามารถใช้เป็นจุดขายในการเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าได้
- ปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตที่ดี (GAP): มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปลูกพืชและดูแลผลผลิตได้อย่างปลอดภัย ลดการปนเปื้อนของสารเคมีและสิ่งสกปรกต่างๆ ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรอง GAP มักเป็นที่ยอมรับจากตลาดมากขึ้น
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การบริโภคผักและผลไม้ที่อาจมีสารพิษตกค้างเป็นปัญหาที่สำคัญในสังคมปัจจุบัน และการได้รับสารพิษตกค้างในปริมาณมากหรืออย่างต่อเนื่องสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ยังเป็นที่จับตามองในหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องการปกป้องผู้บริโภคจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมีตกค้าง ในปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนากระบวนการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำขึ้นเพื่อคัดกรองผักและผลไม้ที่อาจมีสารพิษตกค้าง อย่างไรก็ดี การสร้างเครือข่ายระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงผู้บริโภค ในการเฝ้าติดตามสถานการณ์สารพิษตกค้างในผักผลไม้ และแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค จะช่วยให้เกิดความร่วมมือและการแก้ปัญหาที่รวดเร็วขึ้น
การให้บริการของ AMARC
AMARC ให้บริการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างใน ผัก ผลไม้ ธัญชาติ น้ำบริโภค เนื้อสัตว์ ไขมันจากสัตว์ เครื่องเทศ อาหารสัตว์ และวัตถุดิบอาหารสัตว์ สมุนไพร น้ำเสีย ดินและน้ำใช้ในฟาร์มการเกษตร ด้วยเครื่อง LC-MS/MS และ GC-MS/MS ที่มีความถูกต้องแม่นยำสูง ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ และได้รับการขึ้นทะเบียนรายการตรวจวิเคราะห์กับกรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ Indonesian Agricultural Quarantine Agency (IAQA), Ministry of Agriculture, the Republic of Indonesia รายการวิเคราะห์ครอบคลุม 416 รายการวัตถุอันตรายทางการเกษตร
ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AMARC
ที่มาข้อมูล: บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน)
อ้างอิง: