ทั่วไป
ทั่วไป
บริการของเอมาร์ค
- ด้านการทดสอบในสินค้าและผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม
- ด้านการสอบเทียบโดยให้บริการสอบเทียบเครื่องมือและอุปกรณ์
- มาตรวิทยาไฟฟ้าและอุณหภูมิ
- มาตรวิทยาเคมี
- มาตรวิทยาเชิงกล
- เครื่องมือแพทย์
- ด้านหน่วยตรวจและหน่วยรับรองระบบคุณภาพ ครอบคลุมทั้ง ด้านประมง พืช ปศุสัตว์ ความปลอดภัยอาหารและสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานการรับรอง
- หน่วยตรวจภายใต้มาตรฐาน ISO/IEC 17020
- หน่วยรับรองภายใต้มาตรฐาน ISO/IEC 1706
- หน่วยรับรองภายใต้มาตรฐาน ISO/IEC 17021-1
- ด้านการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรม
ขั้นตอนการใช้บริการ
สามารถดูรายละเอียดได้ที่ How To
ที่ตั้ง
สามารถดูรายละเอียดได้ที่ ติดต่อเรา
ช่องทางการติดต่อ
สามารถดูรายละเอียดได้ที่ ติดต่อเรา
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก่อนส่งตัวอย่าง
- วัตถุประสงค์ของการส่งตัวอย่างให้ทดสอบ
- วีธีเก็บตัวอย่างและปริมาณตัวอย่างที่เหมาะสมที่ต้องส่ง
- การรักษาสภาพและการป้องกันการปนเปื้อนขณะเก็บและขนส่งตัวอย่าง เช่น
- GMOs ปริมาณตัวอย่างต้องไม่น้อยกว่า 1 kg บรรจุตัวอย่างในถุงพลาสติก 2 ชั้น
- Allergen ปริมาณตัวอย่างต้องไม่น้อยกว่า 300 g บรรจุตัวอย่างในถุงพลาสติก 2 ชั้น
- DNA Screening ปริมาณตัวอย่างต้องไม่น้อยกว่า 500 g บรรจุตัวอย่างในถุงพลาสติก 2 ชั้น
- ส่งน้ำตรวจหาเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ จะต้องเก็บตัวอย่างด้วย Aseptic Technique และบรรจุในภาชนะที่ปราศจากเชื้อและรักษาสภาพขณะขนส่งด้วยความเย็น
ท่านสามารถขอรับคำแนะนำและอุปกรณ์สำหรับเป็นตัวอย่างได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์
ขั้นตอนการนำส่งตัวอย่าง
หลังจากสรุปแนวทางการใช้บริการกับเอมาร์คแล้ว กรอกและนำส่งใบคำขอบริการทดสอบ พร้อมตัวอย่าง โดยลูกค้าสามารถจะนำตัวอย่างมาส่งด้วยตนเองหรือแจ้งให้ เอมาร์ค เข้าไปรับตัวอย่างโดยไม่เสียค่าบริการ กรณีลูกค้าอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมลฑลหรือลูกค้าเข้ามาส่งตัวอย่างด้วยตัวเอง หรือส่งตัวอย่างโดยใช้บริการขนส่งเอกชน
บริการรับตัวอย่าง
เอมาร์ค ให้บริการรับ-ส่งตัวอย่างฟรีในเขตกรุงเทพฯและปริมลฑล หากลูกค้าสนใจสามารถแจ้งรับตัวอย่างได้กับเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแล
บริการแบบเร่งด่วน (Express Service)
เอมาร์ค มีบริการวิเคราะห์แบบเร่งด่วนลูกค้าสามารถสอบถามระยะเวลาและรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากทั้งเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแล
การอ่านการรายงานผล
ความหมายของการรายงานผล < 3 MPN/g และ < 10 CFU/g
หมายถึงไม่พบเชื้อ ซึ่งเป็นการรายงานตามวิธีทดสอบของแต่ละหน่วย ที่เป็นวิธีมาตรฐาน
ความหมายของการรายงานผล < 0.3 MPN/g ของผลการทดสอบ Vibrio parahaemolyticus ในตัวอย่างอาหาร ที่ผ่านการแช่แข็ง ดองเกลือ
เนื่องจากข้อกำหนดของวิธีมาตรฐานกำหนดให้ตัวอย่างที่ผ่านการแช่แข็ง ดองเกลือ (ผ่านกระบวนการ Process แล้ว ยกเว้นแช่เย็น) ต้องใช้ตัวอย่างในการทดสอบ ที่มากกว่าตัวอย่างปกติ 10 เท่า เมื่อผลไม่พบเชื้อผลจึงรายงานเป็น < 0.3 MPN/g
ความละเอียดของการรายงานหน่วยของการทดสอบทางด้านเชื้อระหว่าง หน่วย per 0.01 g.และ per 0.1g
หน่วย 0.1 g มีความละเอียดมากกว่าเนื่องจาก หน่วย 0.1 g มีความเข้มข้นของเนื้อตัวอย่าง 0.1g ซึ่งเข้มข้นกว่าหน่วย 0.01 g ที่มีความเข้มข้นของเนื้อตัวอย่าง 0.01g ดังนั้น 0.1 g จึงมีความสามารถในการตรวจหาเชื้อได้ละเอียดกว่า 0.01g
ความหมายของคำว่า Not Detected, < LOQ (Less than LOQ) ที่ใช้ในรายงานผลการทดสอบของเอมาร์ค
การรายงานผลการทดสอบของเอมาร์ค เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ประโยชน์จากข้อมูลในรายงานมากที่สุด นอกจากนั้น วิธีทดสอบที่ใช้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทวนสอบความถูกต้อง แม่นยำตามวิธีการ และแสดงค่าต่างๆ ที่จำเป็น มีความเป็นสากล เช่น
- ความจำเพาะ
- ความสามารถในการตรวจ ซึ่งมักแสดงด้วยค่า Limit of Detection: LOD และ Limit of Quantitation: LOQ
(LOD คือความเข้มข้นต่ำสุดของสารที่สนใจในตัวอย่างที่วิธีทดสอบสามารถตรวจวัดได้)
(LOQ คือ ความเข้มข้นต่ำสุดของสารที่สนใจในตัวอย่างที่วิธีทดสอบ สามารถตรวจวัดได้ ที่ความเข้มข้นระดับนี้สามารถรายงานเป็นปริมาณที่มีความแม่นและเที่ยงตรง)
· ความเป็นเส้นตรง
ส่วนคำที่ใช้ในรายงานผลการทดสอบนั้นมีความหมาย ดังนี้”
- Not Detected หมายความว่า ผลการทดสอบนั้นพบสิ่งที่สนใจมีปริมาณน้อยกว่าค่า LOD หรือตรวจไม่พบ
- < LOQ (Less than LOQ) หมายความว่า ผลการทดสอบนั้นพบปริมาณมากกว่าค่า LOD แต่น้อยกว่าค่า LOQ
การทดสอบ
วิธีการเฝ้าระวังการปนเปื้อนในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะเรื่องสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ ของโรงงานเป็น OEM (Original Equipment Manufacture) ที่ผลิตอาหาร ผู้ตรวจประเมินโรงงานตามมาตรฐาน GMP และ HACCP ให้ NC ว่าไม่พบผล
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดว่าโรงผลิตอาหาร ต้องได้มาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นการยกระดับเรื่องคุณภาพและมาตรฐานอาหาร และเพื่อลดต้นทุนการผลิตจึงเกิดธุรกิจใหม่คือ โรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP รับจ้างผลิตอาหารให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เป็นโรงงานและผู้ประกอบการที่จ้างผลิตจำเป็นต้องเข้าใจและนำหลักการ GMP และHACCP มาประยุกต์ใช้ในการเฝ้าระวังความเสี่ยงเรื่องการปนเปื้อนต่างๆ เช่น
- ผู้ประกอบการ จะต้องมีระบบตรวจสอบสารก่อภูมิแพ้ในวัตถุดิบ
- โรงงานผู้ผลิตจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบ เฝ้าระวังว่าในระบบการผลิตไม่มีการปนเปื้อนของสารก่อภูมิแพ้ ตกค้างมาจากกระบวนการผลิตก่อนหน้านี้
- อีกทั้งบริการตรวจสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญอื่นๆ
ระยะเวลาการทดสอบ
รายละเอียดวันที่การทดสอบ จะแจ้งในเอกสารใบเสนอราคา โดยจำนวนวันที่แสดงจะไม่รวม วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
การชำระค่าบริการ
วิธีการชำระค่าบริการ
- เงินสด
- เงินโอน
- เช็ค
- ใบเแจ้งยอดชำระเงิน
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ติดต่อเรา
การส่งเสริมการลงทุน (BOI)
รายละเอียดของโครงการ”การส่งเสริมการลงทุน (BOI)” ที่เอมาร์คได้รับ
บริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุน ประเภท กิจการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ขอบข่าย: บริการทดสอบและตรวจวิเคราะห์ในด้านต่างๆ เช่นด้านการแพทย์และยา เคมี จุลชีวะ และสิ่งปลอมปน
สิทธิประโยชน์ที่บริษัทได้รับคือ ตามมาตรา 31 ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี (ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่าย (3%))
โดยเริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่ โครงการมีรายได้ครั้งแรก (การออก INV.) และนับไปอีก 8 ปี ถือว่าสิ้นสุดโครงการ ดังนั้นวันที่ที่ได้รับอนุมัติให้รับการส่งเสริมตามบัตรฯกับวันที่ที่เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจึงต่างกัน
บริษัทฯได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากบางรายการทดสอบบริษัทฯไม่ได้มีการลงทุนซื้อเครื่องมือและขอรับการส่งเสริมใหม่ในโครงการนี้
เกษตรอาหาร
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
- หน่วยงานให้การรับรอง (Accreditation body) ISO/IEC 17025
- หน่วยงานถ่ายโอนภารกิจ (Regulator)
ความหมายของสารก่อภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้ เป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาทางภูมิคุ้มกัน และส่งผลให้เกิดอาการแพ้ในคนที่มีความไวต่อสารนั้นๆ แต่ไม่ทำให้เกิดอาการหรือเป็นอันตรายต่อคนทั่วไป สารก่อภูมิแพ้มีอยู่ทั้งในอากาศ ฝุ่นละออง รวมไปถึงอาหาร และยา ซึ่งการแพ้เกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของสารและลักษณะจำเพาะของแต่ละคน เช่น จาม หอบ คันตา คัน/คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจลำบาก ผื่นขึ้น อาเจียน ถ่ายเป็นมูกเลือด เป็นลม ช็อค และหมดสติ เป็นต้น
ความหมายของสิ่งแปลกปลอมในอาหารและผลิตภัณฑ์
สิ่งแปลกปลอมในอาหารและผลิตภัณฑ์คือ สิ่งซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ หรือน่ารังเกียจทั้งที่เป็นอินทรีย์วัตถุ และอนินทรีย์วัตถุที่มีแหล่งที่มาจากสิ่งแวดล้อม หรือสัตว์ต่างๆที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ หรือมีแหล่งที่มาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ถูก สุขลักษณะซึ่งอาจเป็นสิ่งแปลกปลอมอันตรายกับผู้บริโภคและบ่งชี้ว่าอาหารและผลิตภัณฑ์นั้นมีสุขลักษณะการผลิต การเก็บรักษาและการจำหน่ายที่ไม่ดี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอาหารและผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค สิ่งแปลกปลอมในอาหารและผลิตภัณฑ์ แบ่งได้ดังนี้
- Heavy Filth หมายถึง สิ่งแปลกปลอมที่ มีน้ำหนักมากซึ่งสามารถแยกออกจาก ผลิตภัณฑ์ด้วยการตกตะกอน เช่น สิ่ง ขับถ่ายจากแมลง สัตว์ประเภทฟันแทะ ชิ้นส่วนโลหะ ดินและทราย เป็นต้น
- Light Filth หมายถึง สิ่งแปลกปลอมที่มี น้ำหนักเบาซึ่งสามารถแยกออกจากผลิตภัณฑ์ เช่น พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ แมลง ชิ้นส่วนของแมลง และขนสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นต้น
การอ่านการรายงานผล
ในวิธีการทดสอบ Yeast & Mold ความแตกต่างของการเสนอราคาระหว่าง วิธี FDA-BAM และวิธี AOAC
ประเภทของผลิตภัณฑ์ ต่างกันจะใช้วิธีการทดสอบต่างกันขึ้นอยู่กับค่าน้ำอิสระ Aw และเกณฑ์กำหนดของอาหารชนิดนั้น โดยแบ่งเป็นค่า Aw> 0.95 และค่าAw ≤ 0.95 ดังนี้
- กลุ่มตัวอย่างที่มีค่า Aw > 0.95 เช่น เนื้อสด ปลาสด ผักสด ผลไม้สด ผลไม้กระป๋อง ขนมปังแผ่น หมูยอ เป็นต้น ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ Aw > 0.95 ถ้าทดสอบโดยวิธี BAM ในกรณีที่ไม่พบเชื้อ จะรายงานผล < 1 x 102 CFU/g (ในกรณีที่ตัวอย่างเป็นของแข็งหรือที่ต้องชั่งน้ำหนักและทำการเจือจาง) หรือ รายงาน < 10 CFU/mL (ในกรณีที่ตัวอย่างเป็นของเหลวที่สามารถดูดตัวอย่างทำการทดสอบตั้งแต่ original sample) ซึ่งถ้าเลือกเสนอราคาวิธี BAM ค่าต่ำสุดที่ห้องแล็บรายงานอาจจะสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของตัวอย่างลูกค้าทางเอมาร์คจึงเสนอราคาเป็นวิธี AOAC ซึ่งจะรายงานผล < 10 CFU/g หรือ < 1 CFU/mL ตามลำดับเป็นต้น
- กลุ่มตัวอย่างที่มีค่า Aw < 0.95 เช่น อาหารแห้งต่างๆ แป้ง ธัญพืช แยม ซอสปรุงรส เป็นต้น สามารถเสนอราคาได้ทั้งวิธี BAM และ AOAC เนื่องจากทั้ง 2 วิธีการทดสอบรายงานผล < 10 CFU/g หรือ < 1 CFU/mL แต่วิธี AOAC จะสามารถรายงานผลการทดสอบได้เร็วกว่าวิธี BAM แต่ในกรณีที่ตัวอย่างไม่ทราบค่า Aw ที่แน่นอน อาจทำให้การทดสอบคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นควรเลือกใช้วิธี AOAC 997.02 ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องทำการแยกค่า Aw และสามารถรายงานผลเป็น < 10 CFU/g หรือ < 1 CFU/mL ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสินค้าในหลายมาตรฐาน
วิธีการทดสอบในรายงานที่หน่วยเป็น CFU ของการรายงานผลในรายการเชื้อ Total Plate Count และ Yeast&Mold
ทดสอบ โดย Colony Count Technique เป็นวิธีการทดสอบหาปริมาณจุลินทรีย์โดยการนับจำนวนโคโลนีที่ขึ้นบนจานเพาะเชื้อ (CFU = Colony Forming Unit) ซึ่งจะรายงานผลการทดสอบในหน่วยของ CFU/g , CFU/ml.
การรายงานผลของรายการเชื้อ ColiformและEscherichia coli หน่วยที่รายงานเป็น MPN/g มีวิธีทดสอบอย่างไร
ทดสอบโดย MPN Technique เป็นวิธีการทดสอบหาปริมาณจุลินทรีย์โดยวิธีการประมาณค่าทางสถิติ ทดสอบโดยนำตัวอย่างมาเจือจางตามความเข้มข้นต่างๆ จากนั้นดูดแต่ละความเจือจางลงในหลอดอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลว ความเข้มข้นละ 3 หลอดตามวิธีมาตรฐาน บ่มตามอุณหภูมิและเวลาที่กำหนด แล้วทำการอ่านค่าจากตาราง MPN (Most Probable Number) ซึ่งจะรายงานผลการทดสอบในหน่วยของ MPN เช่น MPN/g, MPN/ml
จำเป็นต้องทดสอบการพบเชื้อ Escherichia coli หรือไม่ หากทดสอบแล้วพบเชื้อกลุ่ม Coliform
อาจจะพบหรือไม่พบเชื้อ Escherichia coli ก็ได้ เนื่องจาก แบคทีเรียในกลุ่ม Coliform เป็นเชื้อกลุ่มใหญ่ซึ่ง Escherichia coli เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่ม Coliform เท่านั้น จะประกอบด้วย
- Escherichia
- Citrobacter
- Enterobacter
- Hafnia
- Klebsiella
- Serratia
ความหมายของการรายงานผล < 0.3 MPN/g ของผลการทดสอบ Vibrio parahaemolyticus ในตัวอย่างอาหาร ที่ผ่านการแช่แข็ง ดองเกลือ
เนื่องจากข้อกำหนดของวิธีมาตรฐานกำหนดให้ตัวอย่างที่ผ่านการแช่แข็ง ดองเกลือ (ผ่านกระบวนการ Process แล้ว ยกเว้นแช่เย็น) ต้องใช้ตัวอย่างในการทดสอบ ที่มากกว่าตัวอย่างปกติ 10 เท่า เมื่อผลไม่พบเชื้อผลจึงรายงานเป็น < 0.3 MPN/g.
ความหมายของการรายงานผล < 3 MPN/g และ < 10 CFU/g
หมายถึงไม่พบเชื้อ เป็นการรายงานตามวิธีทดสอบของแต่ละหน่วย ที่เป็นวิธีมาตรฐาน
ความละเอียดของการรายงานหน่วยของการทดสอบทางด้านเชื้อระหว่าง หน่วย per 0.01 g.และ per 0.1g
หน่วย 0.1 g มีความละเอียดมากกว่า เนื่องจาก หน่วย 0.1 g มีความเข้มข้นของเนื้อตัวอย่าง 0.1g ซึ่งเข้มข้นกว่าหน่วย 0.01 g ที่มีความเข้มข้นของเนื้อตัวอย่าง0.01g ดังนั้น 0.1 g จึงมีความสามารถในการตรวจหาเชื้อได้ละเอียดกว่า 0.01g เนื่องจากมีความเข้มข้นของเนื้อตัวอย่างมากกว่า
ความหมายของคำว่า Not Detected, < LOQ (Less than LOQ) ที่ใช้ในรายงานผลการทดสอบของเอมาร์ค
การรายงานผลการทดสอบของเอมาร์ค เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 และความเหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ประโยชน์จากข้อมูลในรายงานมากที่สุด นอกจากนั้น วิธีทดสอบที่ใช้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทวนสอบความถูกต้อง แม่นยำตามวิธีการและแสดงค่าต่างๆที่จำเป็นที่เป็นสากล เช่น ความจำเพาะ ความสามารถในการตรวจซึ่งมักแสดงด้วยค่า LOD (Limit of Detection) คือความเข้มข้นต่ำสุดของสารที่สนใจในตัวอย่างที่วิธีทดสอบสามารถตรวจวัดได้ LOQ (Limit of Quantitation คือ ความเข้มข้นต่ำสุดของสารที่สนใจในตัวอย่างที่วิธีทดสอบ สามารถตรวจวัดได้ ที่ความเข้มข้นระดับนี้สามารถรายงานเป็นปริมาณที่มีความแม่นและเที่ยงตรง) และความเป็นเส้นตรง เป็นต้น ส่วนคำที่ใช้ในรายงานผลการทดสอบนั้นมีความหมาย ดังนี้
- Not Detected หมายความว่า ผลการทดสอบนั้นพบสิ่งที่สนใจมีปริมาณน้อยกว่าค่า LOD หรือตรวจไม่พบ
- < LOQ (Less than LOQ) หมายความว่า ผลการทดสอบนั้นพบปริมาณมากกว่าค่า LOD แต่น้อยกว่าค่าLOQ
การทดสอบ
การทดสอบ Clostridium perfringens ในน้ำ ตามประกาศกระทรวงสาธารณะสุขฉบับที่ 61&135
เนื่องจากไม่มีกำหนดเกณฑ์ไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ลูกค้าสามารถตรวจเพิ่มได้ นอกจากลูกค้าจะอ้างอิงรายการทดสอบตาม มอก. 257 เรื่องน้ำบริโภค
รายการหรือมาตรฐานที่ลูกค้าสามารถอ้างอิง จากกรณีที่ลูกค้าต้องการทดสอบจปริมาณจุลินทรีย์ในอาหาร (กรณีที่ผลิตภัณฑ์ลูกค้าไม่ตรงกับประเภทของประกาศกระทรวงสาธารณสุข)
โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ลูกค้าอ้างอิงตามประกาศกรมวิทย์การแพทย์ ฉบับที่ 3 หรือแนะนำให้สอบถามเกณฑ์สินค้ากับคู่ค้าก่อนส่งตรวจ
การทดสอบรายการด้านจุลินทรีย์ แบบ n=5 ต้องส่งตัวอย่างแยกเป็น 5 บรรจุภัณฑ์ หรือรวมตัวอย่างมาได้
เตรียมแยกเป็น 5 บรรจุภัณฑ์ ตาม Original Package
การให้บริการทดสอบแบบ Rapid Test
เอมาร์ค ให้บริการทดสอบแบบ Rapid Test ได้ในเชื้อต่อไปนี้
- Salmonella spp. โดยใช้เทคนิค 3M Molecular Detection System
- Coliform โดยใช้เทคนิค Petrifilm
- Escherichia coli โดยใช้เทคนิค Petrifilm
- Yeast&Mold Count โดยใช้เทคนิค Petrifilm
บริการทดสอบอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ (Shelf-life)
เอมาร์ค ให้บริการทดสอบอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ (Shelf-life) โดยรับบริการทดสอบเฉพาะตัวอย่างที่เก็บที่อุณหภูมิห้อง และเป็นแพ็กเกจจริงที่วางขาย ลูกค้าสามารถติดต่อขอรับบริการ โดยกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มใบขอรับบริการเช่น ส่วนประกอบของตัวอย่าง ลักษณะภาชนะบรรจุ วิธีการฆ่าเชื้อ น้ำหนักสุทธิ อายุการเก็บรักษาที่ลูกค้าคาดหวัง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นของตัวอย่างที่เคยพบและเป็นสาเหตุที่ผู้บริโภคไม่ยอมรับ จากนั้นส่งตัวอย่างที่ต้องการทดสอบให้กับเจ้าหน้าที่ เอมาร์ค
วิธีการจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
การผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายหรือส่งออกมีข้อกำหนดและเงื่อนไขแตกต่างกันตั้งแต่กระบวนการผลิต คุณภาพและมาตรฐานของสินค้า ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดและข้อกำหนดต่างๆก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้สามารถวางแผนและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังนี้
- จำแนกอาหารที่ต้องการจำหน่ายว่าเป็นชนิดใด เช่น เป็นอาหารสดหรือผลิตภัณฑ์
- มีหน่วยงานราชการที่ดูแล กำกับเรื่องคุณภาพมาตรฐานอาหารของประเทศไทยมีหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมประมงและกรมปศุสัตว์ เป็นต้น
- อาหารบางชนิดจำเป็นต้องขออนุญาตการผลิต มีมาตรฐานกำกับจากหลายส่วนราชการ จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อกำหนดและคุณภาพหรือมาตรฐานของอาหารที่สนใจจะผลิต นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการตั้งชื่อ ฉลากและการโฆษาณาอีกด้วย
การทดสอบด้านเคมี
เอมาร์ค มีบริการทดสอบทางกายภาพ ฟิสิกส์ และเคมี ที่หลากหลายตามมาตรฐานและข้อกำหนดของสิ่งส่งตรวจ ดังนี้
- สารปนเปื้อนในอาหาร เช่น โลหะหนัก (แคดเมียม ดีบุก ตะกั่ว ปรอท และสารหนู) สารพิษจากเชื้อรา (แอฟลาทอกซิน เอ็ม 1, แอฟลาทอกซินทั้งหมด, ดีออกซีนิวาลีนอล, โอคราทอกซิน เอ) เป็นต้น
- วัตถุเจือปนอาหาร เช่น สี วัตถุกันเสีย สารกันหืน และสารให้ความหวาน เป็นต้น
- โภชนาการ (โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน) และฉลากโภชนาการอาหารประเทศต่างๆ เช่น ไทย จีน อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น
- ตรวจคุณภาพหรือมาตรฐานทางเคมีของอาหารชนิดต่าง ๆ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
- ตรวจหาปริมาณแร่ธาตุและโลหะหนัก ในอาหารและอาหารสัตว์
- สารก่อมะเร็ง เช่น 3MCPD, PCBs และPAHs เป็นต้น
- สารตกค้าง เช่น ยาสัตว์ตกค้างในอาหารและวัตถุอันตรายทางการเกษตรตกค้างในอาหารและน้ำ
เอมาร์คเป็นแล็บที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดให้เป็นแล็บที่สามารถทดสอบพืชควบคุมเฉพาะเพื่อการส่งออกได้
เอมาร์ค เป็นแล็บที่สามารถทดสอบพืชควบคุมเฉพาะเพื่อการส่งออกตามที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Designated Laboratory) โดย ให้บริการตรวจพืชผัก ผลไม้เพื่อการส่งออกมาตั้งแต่ กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ปัจจุบันได้ให้บริการทดสอบผักและผลไม้ส่ง ออกปีละมากกว่า 14,000 ตัวอย่าง จากผู้ส่งออกผักและผลไม้มากกว่า 80,000 รายการ
ความหมายของพืชควบคุมเฉพาะและการทดสอบเพื่อการส่งออกของพืชควบคุมเฉพาะ
พืชควบคุมเฉพาะคือ พืชที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดว่าต้องผ่านการตรวจสอบเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ รายชื่อชนิดพืช ประเทศและเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ สามารถสืบค้นข้อมูลได้ใน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือสอบถามได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์
การทดสอบหาสิ่งแปลกปลอม
เอมาร์ค สามาถตรวจวิเคราะห์สิ่งแปลกปลอมตามวิธีมาตรฐาน AOAC เช่น Light filth ในธัญชาติและผลิตภัณฑ์ธัญชาติ, Filth ในน้ำตาล น้ำพริกและเครื่องเทศเป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการตรววจวิเคราะห์หาสิ่งแปลกปลอมโดยใช้เทคนิค Macroscopic and Microscopic Analysis in Foreign Matter Sample, Biological Identity by Histology Method และการตรวจหาปรสิตในกล้ามเนื้อสัตว์
การทดสอบหาสิ่งแปลกปลอมในอาหารและผลิตภัณฑ์
สิ่งแปลกปลอมในอาหารและผลิตภัณฑ์อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคโดยตรง หรือก่อให้เกิดโรค เกิดการแพ้ซึ่งล้วนส่งผลเสียกับสุขภาพของผู้บริโภค
บริการด้านอณูชีววิทยา
แล็บอณูชีววิทยาของ เอมาร์ค ให้บริการ ดังนี้
- ตรวจวิเคราะห์ GMOs เชิงคุณภาพ ในอาหาร,ถั่วเหลือง, ข้าว, ข้าวโพด และอาหารสัตว์
- การวิเคราะห์หา DNA ของเนื้อหมู เนื้อไก่และเนื้อวัว เป็นต้น
- การวิเคราะห์ Allergen ของข้าวสาลี ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ปลา นมวัว และกุ้ง
- การตรวจหาสารพันธุกรรมของโรค SARS-CoV-2 (COVID-19) ที่ปนเปื้อนในอาหาร และวัสดุสัมผัสอาหาร
- ตรวจวิเคราะห์หายีนจำเพาะในพืช (Plant gene) เช่น ถั่วเหลือง (Lectin gene) ข้าวโพด (Zein gene) และข้าว (PLD) เป็นต้น
- ตรวจเอกลักษณ์ (GMOs Identification) เช่น Roundup Ready Soybean (EPSPS gene)
การทดสอบ GMOs หรือ DNA ในตัวอย่าง
- กระบวนการ GMOs เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาและข้อด้อยของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หรือการปศุสัตว์ รวมทั้งเสริมจุดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมนั้น มีต้นทุนที่ต่ำกว่า และมีคุณประโยชน์มากกว่า แม้ว่าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมจะส่งผลดีต่อระบบอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรม แต่ยังมีหน่วยงานทางสุขภาพทั่วโลกและผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้
- การตรวจหา DNA มีประโยชน์ในการสร้างความมั่นใจถึงความบริสุทธิ์ในอาหารนั้นๆ เช่นการตรวจหา DNA สุกรที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตรวจสอบ อาหารฮาลาล เป็นต้น สรุป การตรวจหา DNA / GMOs ในตัวอย่างเพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้
- ลดข้อกังวลด้านสุขภาพของผู้บริโภค
- เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายหรือระเบียบด้านการนำเข้า-ส่งออก
- เพิ่มการแข่งขันในตลาดเชิงรุก”
วิธีการส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบหา GMOs, DNA และสารก่อภูมิแพ้
- จัดเตรียมและนำส่งตัวอย่างตามปริมาณที่กำหนดตามหลักวิชาการ สำหรับตัวอย่างแต่ละประเภท ตามประกาศกระทรวงฯ
- บันทึกข้อมูลในใบขอรับบริการทดสอบให้ครบถ้วน
- ส่งตัวอย่างด้วยตนเองหรือให้บริษัทเข้ารับตัวอย่าง
ตัวอย่างเชื้อก่อโรคที่ทดสอบได้
- salmonella
- e-coli
- s-auseus
- listeria monocytogenes
- coliform
การทดสอบสารก่อภูมิแพ้ Allergen testing
เอมาร์คทดสอบสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ Allergic ดังนี้
- ทดสอบสารก่อภูมิแพ้ (Allergen testing)
- ทดสอบอาหารก่อภูมิแพ้ (Food Allergen)
ยา
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
หน่วยงานให้การรับรอง (Accreditation body) ISO/IEC 17025
มาตรฐานที่ใช้การทดสอบของยาแผนโบราณและยาสมุนไพร
- Thai Herbal Pharmacopoeia (THP)
- โลหะหนักอ้าง AOAC, The United States Pharmacopoeia (USP), Thai Herbal Pharmacopoeia (THP)
- สเตียรอยด์ ใช้ HPLC
การทดสอบ
การทดสอบยา
เอมาร์ค เป็นแล็บของเอกชนรายเดียวในประเทศไทยที่ให้บริการทดสอบด้านยา โดยทดสอบทั้งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ยาต่างๆทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณและยาสมุนไพร
รายการทดสอบยาแผนปัจจุบัน
สอบถามรายการทดสอบยาได้ที่ ยา
บริการทดสอบชีวสมมูลย์ของยา
เอมาร์ค ให้บริการด้านการวิเคราะห์ชีวสมมูลย์ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
บริการการพัฒนาวิธีทดสอบยา
เอมาร์ค ให้บริการพัฒนาและการทำทวนสอบ (Method Development/Validation) ตามวิธีมาตรฐาน USP, BP และตามวิธีการของลูกค้า โดยผู้สนใจใช้บริการด้านนี้สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
การทดสอบกัญชาทางการแพทย์ ตามแนวทางที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำหนด
เอมาร์ค สามารถตรวจกัญชาทางการแพทย์ตามแนวทางที่กรมวิยาศาสตร์การแพทย์กำหนดทั้งกัญชา กัญชง น้ำมันกัญชา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เป็นส่วนประกอบได้เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง ทุกรายการ ส่วนปริมาณสารสำคัญ สามารถตรวจหาปริมาณ CBD แต่สำหรับ THC ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 1 นั้น อยู่ระหว่างขออนุญาตครอบครองกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารละยา
เอมาร์คให้บริการทดสอบ วิเคราะห์ สารสำคัญใน กัญชง กัญชา และกระท่อมได้หรือไม่
เอมาร์คให้บริการทดสอบ วิเคราะห์ สารสำคัญใน กัญชง กัญชา และกระท่อม ดังนี้
- ตรวจและรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)
- ทดสอบสาร Cannabidiol (CBD) กัญชงกัญชา อาทิ กัญชาสำหรับวัตถุดิบ กัญชาทางการแพทย์ ยา น้ำมันกัญชา ตำรับยาแผนไทย อาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง
- ทดสอบปริมาณสารสำคัญจากพืชใบกระท่อม
- ทดสอบโลหะหนัก อาทิ แคดเมียม(Cd) ตะกั่ว(Pb) สารหนู(As) ปรอท(Hg) และโครเมียม(Cr)
- ทดสอบปริมาณสารสำคัญ
- ทดสอบสารพิษจากเชื้อรา
- ทดสอบสารปนเปื้อนจุลินทรีย์
- ทดสอบสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตกค้าง
- ทดสอบสารประกอบของกรดไขมัน
รายการทดสอบของยาแผนโบราณและยาสมุนไพร
สอบถามรายการทดสอบยาแผนโบราณและยาสมุนไพรได้ที่ ยา
เอมาร์คมีบริการทดสอบวิเคราะห์สารสำคัญ Andrographolide ในฟ้าทะลายโจร
ทดสอบวิเคราะห์สารสำคัญ Andrographolide ในยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร และในฟ้าทะลายโจร เช่นสารหนู แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท และเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถให้บริการทดสอบหาสารอื่นๆในยาสมุนไพรได้
ปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
หน่วยงานให้การรับรอง (Accreditation body) ISO/IEC 17025
ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรคืออะไร
ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ ดิน น้ำ ปุ๋ยและวัตถุอันตรายทางการเกษตร ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลกับผลผลิตทางการเกษตร หากเกษตรกรสามารถเลือกพื้นดินและแหล่งน้ำที่เหมาะสม ใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและหากเมื่อมีศัตรูพืชมาทำลายผลผลิตจนไม่สามารถจัดการด้วยวิธีการใดๆได้ ก็ต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลงที่มีฤทธิ์ในการกำจัดศัตรูพืชนั้นและใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีต้นทุนที่เหมาะสมและผลผลิตสูง
การทดสอบ
การทดสอบ Clostridium perfringens ในน้ำ ตามประกาศกระทรวงสาธารณะสุขฉบับที่ 61&135
เนื่องจากไม่มีกำหนดเกณฑ์ไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ลูกค้าสามารถตรวจเพิ่มได้ นอกจากลูกค้าจะอ้างอิงรายการทดสอบตาม มอก. 257 เรื่องน้ำบริโภค
การทดสอบด้านเคมี
เอมาร์ค มีบริการทดสอบทางกายภาพ ฟิสิกส์ และเคมี ที่หลากหลายตามมาตรฐานและข้อกำหนดของสิ่งส่งตรวจนั้น เช่น สารตกค้าง เช่น ยาสัตว์ตกค้างในอาหารและวัตถุอันตรายทางการเกษตรตกค้าง ในอาหารและน้ำ
การทดสอบปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
การทดสอบปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
- สำหรับเกษตรกร เป็นการบริหารจัดการเพื่อเลือกใช้และใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นทดสอบคุณภาพน้ำ และ ดินก่อนการปลูกเพื่อดูความเหมาะสมในการเลือกพืชที่จะปลูกและจัดการปรับปรุงคุณภาพดินที่เกิดจากการเสื่อมคุณภาพที่เกิดจากการปลูกพืชแต่ละชนิดลงไป โดยการเลือกปุ๋ยที่ตรงกับการปรับสภาพฟื้นฟูดินแต่ละที่ให้เหมาะกับพืชที่จะปลูก ซึ่งเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตในเวลาเดียวกัน
- สำหรับผู้ประกอบการที่ประสงค์จะผลิต จำหน่าย นำเข้าหรือส่งออกปุ๋ยขึ้นทะเบียน ผู้ประกอบการสามารถนำใบรายงานผลการทดสอบไปขออนุญาขอขึ้นทะเบียนปุ๋ยกับทางกรมวิชาการเกษตรได้เลย
- สำหรับผู้ประกอบการที่จะผลิต/นำเข้าจำเป็นต้องทดสอบปุ๋ยและวัตถุอันตรายทางการเกษตร เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพและมาตรฐาน
การทดสอบปุ๋ย ดิน น้ำ และวัตถุอันตรายทางการเกษตร
สอบถามรายการทดสอบปุ๋ย ดิน น้ำ และวัตถุอันตรายทางการเกษตรได้ที่ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
สิ่งแวดล้อม
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
- หน่วยงานให้การรับรอง (Accreditation body) ISO/IEC 17025
- หน่วยงานถ่ายโอนภารกิจ (Regulator)
การทดสอบ
การทดสอบ Clostridium perfringens ในน้ำ ตามประกาศกระทรวงสาธารณะสุขฉบับที่ 61&135
เนื่องจากไม่มีกำหนดเกณฑ์ไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ลูกค้าสามารถตรวจเพิ่มได้ นอกจากลูกค้าจะอ้างอิงรายการทดสอบตาม มอก. 257 เรื่องน้ำบริโภค
การทดสอบด้านเคมี
เอมาร์ค มีบริการทดสอบทางกายภาพ ฟิสิกส์ และเคมี ที่หลากหลายตามมาตรฐาน และข้อกำหนดของสิ่งส่งตรวจ ดังนี้
- วิเคราะห์น้ำตามมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งน้ำอุปโภค น้ำบริโภค น้ำแข็ง ไอน้ำในกระบวนการผลิตที่สัมผัสกับอาหาร และน้ำเสีย เป็นต้น
- สารตกค้าง เช่น ยาสัตว์ตกค้างในอาหาร และวัตถุอันตรายทางการเกษตรตกค้างในอาหาร และน้ำ
การทดสอบดิน และน้ำ
สอบถามรายการทดสอบดิน และน้ำได้ที่ สิ่งแวดล้อม
การสอบเทียบเครื่องมือและอุปกรณ์
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
- หน่วยงานให้การรับรอง (Accreditation body) ISO/IEC 17025
เครื่องมือแพทย์
การบำรุงรักษาเครื่องมือแพทย์
เครื่องมือแพทย์และเครื่องมืออื่นๆ ควรได้รับการตรวจเช็คตามระยะเวลาที่เหมาะสมคือเครื่องมือทั่วไปอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้งการบำรุงรักษาจะเป็นการเตรียมพร้อมให้เครื่องมือก่อนนำไปใช้งาน
มาตรฐานเครื่องมือแพทย์
การตรวจเช็คทั่วไปจะเป็นการตรวจเช็คภายนอกด้วยสายตา (Visual Check) ใช้การฟังเสียงแจ้งเตือน การแสดงบนหน้าจอว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง จากนั้นจะทำการทดสอบวัดค่าในช่วงค่าต่ำ ค่ากลาง และค่าสูง เพื่อยืนยันผลการวัดว่าอยู่ในเกณฑ์ และมีการออกใบรายงานผลการทดสอบ และมาตรฐานที่นำมาใช้คือ ECRI (Emergency Care Research Institute)
การตรวจเช็คเครื่องมือที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน
เครื่องมือแม้จะมีการใช้งานที่น้อยกว่าเครื่องมืออื่นๆ ก็ควรจะได้รับการบำรุงรักษาและทดสอบค่าอย่างสม่ำเสมอ
ความถี่ในการตรวจเช็คเครื่องมือ
กลุ่มเครื่องมือความเสี่ยงสูงจำได้รับการตรวจเช็คและบำรุงรักษาที่ถี่กว่ากลุ่มความเสี่ยงอื่นๆ เครื่องมือจะแบ่งประเภทตามความเสี่ยง ดังนี้
- กลุ่มเครื่องมือความเสี่ยงสูง
- กลุ่มเครื่องมือความเสี่ยงปานกลาง
- กลุ่มเครื่องมือความเสี่ยงต่ำ
เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์สำหรับเครื่องมือแพทย์ที่ได้รับการทดสอบหรือบำรุงรักษา
ทางทีมทดสอบและบำรุงรักษาเครื่องมือแพทย์จะติดสติกเกอรที่บอกสถานะว่าได้ทำการทดสอบและบำรุงรักษาวันที่เท่าไหร่และครั้งต่อไปวันที่เท่าไหร เลขรหัสเครื่องมืออะไร และเลขใบรายงานผล ข้อมูลทั้งหมดจะเขียนบนสติกเกอร์เพื่อให้ลูกค้าได้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
เครื่องมือเสียหรือชำรุด
เบื้องต้นควรแจ้งทางทีมช่างเครื่องมือแพทย์ให้มาดูอาการของเครื่องมือ หากเครื่องมือแก้ไขไม่ได้ อาจจะต้องหยุดการใช้งานเครื่องและอาจจะหาเครื่องมือมาทดแทน
เครื่องมือวัดค่าไม่ตรง
เครื่องบางยี่ห้อต้องใช้ Accessories ยี่ห้อเดียวกันเท่านั้นถึงจะวัดค่าได้แม่น
เครื่องมือแพทย์ที่เอมาร์คได้การรับรองมาตรฐาน
มีเครื่องมือที่ได้การรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ด้านการทดสอบคือเครื่องวัดความดันโลหิตเชิงกล (Mechanical Sphygmomanometer) และเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ (Automated Sphygmomanometer)
มาตรวิทยาไฟฟ้า อุณหภูมิและความชื้น
บริการรับ-ส่งเครื่องมือและอุปกรณ์
มีบริการรับส่งเครื่องมือ หากลูกค้าสนใจสามารถแจ้งรับตัวอย่างได้กับเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์
วิธีการประเมิน Thermometer with Sensor หรือ Thermo-hygrometer เพื่อการใช้งาน หลังจากได้รับใบรายงานผลการสอบเทียบ
การประเมินโดยทั่วไป จะใช้ค่า Correction ± Uncertainty แล้วดูว่าผลรวมจากค่าที่ได้น้อยกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์การยอมรับหรือไม่
-
- หากรวมกันแล้วมากกว่าถือว่า “ไม่ผ่านเกณฑ์การยอมรับ” ของผลการสอบเทียบเครื่องมือนั้น
- หากรวมกันแล้วน้อยกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์การยอมรับ ถือว่าผ่านเกณฑ์
เช่น เกณฑ์การยอมรับคือ ±1 ºC รวมแล้วได้ Correction ± Uncertainty => 1ºC “ไม่ผ่านเกณฑ์” แต่หาก Correction ± Uncertainty ≤ 1ºC “ผ่านเกณฑ์”
การใช้งานเครื่องมือ Thermometer with Sensor หรือ Thermo-hygrometer กรณีที่ประเมินแล้วไม่ผ่านเกณฑ์การยอมรับ
ให้นำค่า Correction Value ไปใช้งาน โดยรวมกับค่าที่วัดได้ที่จุดนั้นๆ
จุดสอบเทียบThermo-hygrometer ที่ใช้วัดอุณหภูมิ/ความชื้น
ในกรณีที่ใช้วัดอุณหภูมิห้องปกติ ควรเลือกสอบเทียบอุณหภูมิ/ความชื้นอย่างละ 2-3 จุด ให้ครอบคลุมจุดที่ใช้งาน
ในกรณีที่สอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber) ไม่ผ่านเกณฑ์การยอมรับ
- พิจารณาว่าเกณฑ์การยอมรับเหมาะสมหรือไม่
- ทำการปรับตั้งค่าเครื่องมือหรือทำการ Modified
การทวนสอบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber)
ควรติดตั้ง Thermometer with Sensor ที่มีค่า Accuracy ดีกว่าตู้ Chamber ไว้วัดค่าที่บริเวณตรงกลางของตู้
วิธีการประเมินผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber)
จากผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber) ให้นำค่าผลการวัด Measured temperature (ºC) at spread location แต่ละตำแหน่ง #1,#2,#3,#4,#5,#6,#7,#8,#9 ± ด้วยค่า Uncertainty
- หากจุดไหนมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์การยอมรับ ถือว่า “ผ่าน” เกณฑ์ สามารถใช้งานได้
- หากมากกว่าเกณฑ์การยอมรับ ถือว่า “ไม่ผ่าน” ไม่สามารถใช้งานจุดนั้นได้ ให้ดำเนินการแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือทราบและระงับการใช้งานในจุดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
การนำของออกจากตู้ เมื่อจะทำการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber)
ต้องนำของออกจากตู้ก่อนจะทำการสอบเทียบ เนื่องจากการวางสิ่งของภายในตู้ ทำให้การไหลเวียนของอากาศไม่ทั่วถึง และสิ่งของภายในตู้มีการดูดกลืนอุณหภูมิภายในตู้ ทำให้ผลการวัดสามารถผิดพลาดได้
การสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Chamber) เมื่อจุดที่สอบเทียบใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง
ควรปรับอุณหภูมิห้องให้ต่ำกว่าอุณหภูมิที่จะสอบเทียบ อย่างน้อย 5 ºC เช่น ต้องการสอบเทียบอุณภูมิ 30 ºC อุณหภูมห้องจะต้องปรับลงให้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 25 ºC
น้ำที่ใช้เติมระหว่างการใช้งาน Autoclave
ควรใช้ น้ำกลั่น หรือน้ำ RO (Reverse Osmosis Water) เพื่อลดคราบตะกรันที่จะเกาะติดเครื่องมือ
วิธีการเลือกแล็บสอบเทียบ
พิจารณาจากค่า CMC ของแล็บสอบเทียบ โดย CMC ควรมีค่าน้อยกว่าเกณฑ์การยอมรับเป็น 1 ใน 3
(CMC คือ Calibration and Measurement Capability)
มาตรวิทยาปริมาตรและเคมี
การประเมินเกณฑ์เครื่องแก้ววัดปริมาตรหลังการสอบเทียบ
เบื้องต้นเครื่องแก้ววัดปริมาตรจะมีค่า Tolerance ติดอยู่บนเครื่องแก้ว การประเมินคือให้นำค่า error มารวมกับค่า Uncertainty ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่อยู่บนเครื่องแก้ว หากบนเครื่องแก้วไม่มีค่า Tolerance ให้ไปดูที่มาตรฐาน ASTM E287-ISO385 Burette, ASTM E969 Volume pipette, ISO1042 Flask, ISO4788 Cylinder
การใช้งานของเครื่องแก้ว เมื่อไม่ผ่านตามเกณฑ์
เครื่องแก้ววัดปริมาตรที่ไม่ผ่านตามเกณฑ์นั้น ยังคงสามารถใช้งานได้อยู่ โดยการปรับ class ของเครื่องแก้วใหม่ จาก Class A เปลี่ยนเป็น Class B, จาก Class B ก็นำไปใช้ในงานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูงมาก
หลักเกณฑ์ในการส่งเครื่องแก้ววัดปริมาตรมาสอบเทียบ
ให้ดำเนินการตามข้อแนะนำทั่วไปของการตรวจประเมินด้านวิชาการที่ใช้สำหรับห้องปฏิบัติการทดสอบด้านเคมี จากข้อสรุปของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
- เครื่องแก้ว Class A ใช้วิธีการสุ่ม 10%
- เครื่องแก้ว Class B สอบเทียบทุกเครื่องมือ
หลักเกณฑ์ในการเลือกใช้เครื่องชั่งอิเล็คทรอนิกส์ ในการทวนสอบเครื่องแก้ววัดปริมาตร
เครื่องชั่งอิเล็คทรอนิกส์ที่นำมาทวนสอบเครื่องแก้ววัดปริมาตรนั้น จะต้องมีค่า accuracy ที่ดีกว่าเครื่องแก้วที่นำมาทวนสอบ 3-10 เท่า
การประเมินเกณฑ์ Piston pipette, Dispenser และ Piston Burette หลังการสอบเทียบ
ในการประเมินเครื่องมือเครื่องมือจะใช้เกณฑ์มาตรฐาน ISO/IEC 8655 ตามหัวข้อต่อไปนี้
1. Piston pipette ดูที่ Part 2
2. Dispenser ดูที่ Part 5
3. Piston Burette ดูที่ Part 3
การส่งสอบเทียบ Piston pipette, Dispenser, Piston Burette
ในมาตรฐาน ISO/IEC 8655 ระบุไว้ว่าให้สอบเทียบที่ 10%, 50% และ 100% ของ nominal Volume( nominal Volume ค่าปริมาตรสูงสุดของเครื่องมือ เช่น 10-100 µl nominal Volume คือ 100 µl ) หรือลูกค้าสามารถสอบเทียบที่จุดใช้งาน ของลูกค้าที่ใช้เป็นประจำได้อีกเช่นกัน
การแก้ไขเบื้องต้นหากเกิดการรั่วหลังจากใช้ Piston pipette
เครื่องมือที่ใช้ไปเป็นเวลานั้นมักจะเกิดการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน การใช้งานที่ไม่เหมาะสม การดูดสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน จะทำให้ O-ring เสื่อมสภาพ จะต้องมีการทำเปลี่ยน O-ring และควรทำ Preventive maintenance เครื่องมือ อย่างน้อยทุกๆ 6เดือนเพื่อเป็นการรักษาเครื่องมือและให้พร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา
การแก้ไขปัญหากรณี การใช้งาน pH meter หรือ Conductivity meter แล้วเครื่องมือวัดค่าไม่นิ่ง
- Electrode ที่ใช้งาน อาจสกปรกหรือมีคราบมันเกาะติดอยู่ ให้ทำการล้าง Electrode ด้วยน้ำยาล้าง Electrode หรือ แช่ในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาที
- ค่าอ่านนานกว่า 1-2 นาที ให้ดูอุณหภูมิของตัวอย่าง ถ้าตัวอย่างแช่เย็นมา ให้นำตัวอย่างวางไว้ในอุณหภูมิห้องจนอุณหูมิคงที่แล้วถึงทำการวัดค่า
การเปลี่ยน Electrode pH meter
ควรเปลี่ยน Electrode หากหลังจากการทวนสอบหรือสอบเทียบ pH meterแล้ว ค่า %Slope ต่ำกว่า 95% หรือ สูงเกิน 105% หรือ วัดค่าได้ไม่ตรงกับค่า Buffer Standard ตาม Spec ของผู้ผลิต
การประเมินเกณฑ์ pH meter หลังการสอบเทียบ
เภสัชตำรับของสหรัฐอเมริกา (United States Pharmacopeia: USP) ระบุว่าหลังการทวนสอบ/สอบเทียบแล้ว เครื่อง pH meter จะต้องอ่านค่าได้ไม่เกิน ±0.05 pH และ %slope 90-105 (2018 USPC Official 5/1/17 – 7/31/17 General Chapters: <791> pH)
มาตรวิทยาเชิงกล
ความถี่ในการสอบเทียบเครื่องชั่ง
ปกติเครื่องชั่งจะต้องสอบเทียบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อให้ทราบถึงค่าความถูกต้องแม่นยำรวมถึงการปรับตั้งเครื่องชั่งใหม่ หากเครื่องมีค่าความผิดพลาด
การเลือกสถานที่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องชั่ง
- โต๊ะหรือพื้นสำหรับวางเครื่องชั่ง โต๊ะหรือพื้นสำหรับเครื่องวางเครื่องชั่งจะต้องมีความมั่นคง แข็งแรง ไม่ยุบตัว ไม่สั่นสะเทือน ไม่มีความเป็นแม่เหล็ก เช่น แผ่นหินอ่อนหรือหินแกรนิตทีมีความหนาไม่น้อยกว่า 40 มิลลิเมตร ไม่ควรทำด้วยแผ่นไม้ที่มีโอกาสแอ่นตัวหรือแผ่นเหล็ก เนื่องจากเครื่องชั่งบางชนิดอาจถูกรบกวนจากความเป็นแม่เหล็กของส่วนประกอบที่เป็นเหล็กได้
- ห้องเครื่องชั่ง
ห้องเครื่องชั่งควรอยู่ในบริเวณที่ปราศจากการสั่นสะเทือนซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆเช่นการทำงานของเครื่องจักร หรือการจราจร พื้นห้องไม่ควรทำด้วยไม้แต่ควรเป็นพื้นคอนกรีตมีพื้นและผนังเรียบไม่ควรปูพรมหรือติดม่านเพื่อลดบริเวณที่ จะเกิดฝุ่นสะสม และสะดวกต่อการทำความสะอาด
· ควรมีประตูเข้า – ออกเพียงด้านเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสลมและฝุ่น
· ควรมีส่วนที่เป็นหน้าต่างน้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด และความร้อนจากภายนอก
· หากเป็นห้องที่มีระบบปรับอากาศ จะต้องปรับทิศทางของกระแสลมจากระบบปรับอากาศให้ไม่ผ่านตรง ไปยังเครื่องชั่ง
· แสงสว่าง ตำแหน่งที่วางเครื่องชั่งควรจะเป็นตำแหน่งที่ไม่รับแสงแดดโดยตรง เพราะจะทำให้เครื่องชั่งร้อนและชั่งน้ำหนักผิดพลาดได้ การจัดแสงสว่างภายในจะต้องติดตั้งหลอดไฟฟ้าให้ห่างจากเครื่องชั่งพอสมควร เพื่อลดผลกระทบของความร้อน จากหลอดไฟฟ้า - อุณหภูมิ
อุณหภูมิภายในห้องเครื่องชั่งควรจะมีค่าคงที่ ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาใช้งาน จะทำให้เครื่องชั่งแสดงค่าผิดพลาดได้ถึง 1-2 ส่วนในล้านส่วนต่อองศาเซลเซียส - ความชื้น
ความชื้นภายในห้องเครื่องชั่งที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติงานอยู่ระหว่าง 45% ถึง 60% ขณะใช้งานเครื่องชั่งความชื้น จะต้องไม่มีการแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งจะส่งผลกระทบกับผลของการชั่งได้กับเครื่องชังที่มีค่าความถูกต้องสูงๆ
5.อากาศ
กระแสลมบริเวณรอบๆ เครื่องชั่งเป็นสิ่งที่รบกวนการทำงานของเครื่องชั่ง ดังนั้นไม่ควรวางเครื่องชั่งใกล้กับบริเวณเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องมือที่มีพัดลม
6. สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
สำหรับบริเวณที่วางเครื่องชั่งอิเลคทรอนิกส์ ควรตรวจสอบการรบกวนและความผิดพลาดของเครื่องชั่ง ที่อาจเกิดจากสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งผู้ใช้เครื่องควรคำนึงถึงสัญญาณรบกวนที่อาจเกิดจากการใช้เครื่องมือต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงดังนี้ ตู้อบที่ใช้ระบบการเหนี่ยวนำไฟฟ้า การเปิดสวิทซ์เครื่องจักร เตาอบ เตาเผา หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่ให้ความร้อน อาจทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้ารบกวนไปตามสายไฟฟ้าในบริเวณใกล้เคียง การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุสื่อสารชนิดต่างๆ อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเลขแสดงค่าน้ำหนักของเครื่องชั่งได้
การกำหนดเกณฑ์การยอมรับตุ้มน้ำหนัก
ในการกำหนดเกณฑ์การยอมรับของตุ้มน้ำหนักจะอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ OIML R111-1
เอกสารอ้างอิงที่ใช้สำหรับการสอบเทียบตุ้มน้ำหนัก
ในการสอบเทียบตุ้มน้ำหนักเอกสารอ้างอิงที่ใช้จะอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ OIML R111-1
วิธีการใช้งานและดูแลบำรุงรักษาตุ้มน้ำหนัก
- เก็บตุ้มน้ำหนักมาตรฐานไว้ในกล่องหรือภาชนะที่ทำด้วยไม้หรือพลาสติก ซึ่งจัดไว้เพื่อป้องกันตุ้มน้ำหนักมาตรฐานจากฝุ่นและความชื้น และหลีกเลี่ยงการเก็บตุ้มน้ำหนักมาตรฐานในบริเวณที่มีความเข้มสนามแม่เหล็กสูง
- ควรดูแลตุ้มน้ำหนักมาตรฐานให้สะอาดอยู่เสมอ จะต้องไม่จับตุ้มน้ำหนักมาตรฐานด้วยมือเปล่า แต่ให้ใช้อุปกรณ์สำหรับหยิบยก ถุงมือ หรือปากคีมจับตุ้มน้ำหนักโดยให้ส่วนที่สัมผัสตุ้มน้ำหนักทำหรือหุ้มด้วยวัสดุที่ไม่ขูดขีดตุ้มน้ำหนัก เช่น พลาสติก หนังและผ้าฝ้าย
- ต้องระวังไม่ให้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐานตกหรือหล่น
- พื้นสำหรับวางตุ้มน้ำหนักมาตรฐานจะต้องสะอาด เรียบหรือนุ่ม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตุ้มน้ำหนักเปื้อนหรือเกิดรอยขีดข่วน
- เพื่อไม่ให้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐานเกิดการสึกหรอระหว่างการใช้งานในการเลื่อนตำแหน่งของตุ้มน้ำหนักบนจานควรใช้ วิธียกขึ้นแล้ววางลง ณ ตำแหน่งที่ต้องการไม่ควรใช้วิธีเลื่อน
การตรวจและการรับรอง
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ให้บริการ
- พืชและพืชอินทรีย์
- GAP
- มกษ. 4400-2552 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวหอมมะลิไทย
- มกษ. 4401-2551 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าว
- มกษ. 4402-2553 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวโพดเมล็ดแห้ง
- มกษ. 5901-2553 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมันสำปะหลัง
- มกษ. 5902-2553 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับอ้อยโรงงาน
- มกษ. 9001-2556 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร
- มกษ. 3502-2561 : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชสมุนไพร
- ORG
- มกษ. 9000 เล่ม 1-2552: มาตรฐานสินค้าเกษตร เกษตรอินทรีย์ เล่ม 1 การผลิต แปรรูป แสดงฉลาก และจำหน่ายผลิตผลและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์
- มกษ. 9000 เล่ม 4-2553: มาตรฐานสินค้าเกษตร เกษตรอินทรีย์ เล่ม 4 : ข้าวอินทรีย์”
- GAP
- สัตว์น้ำ
- มกษ. 7401-2562 : การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงกุ้งทะเล
- มกษ. 7417-2559 : การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
- มกษ. 7421-2561 : การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำจืด
- มกษ. 7422-2561 : การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเพาะและอนุบาลลูกกุ้งทะเล
- มาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP) สำหรับฟาร์มเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำ และสำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ พ.ศ.2553 กรมประมง (กุ้งทะเล และสัตว์น้ำจืด)
- มกษ. 7429-2559 : การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี สำหรับฟาร์มเลี้ยงปลาทะเล
- มกษ. 7436-2563 : การปฎิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี สำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการบริโภค
- ความปลอดภัยอาหาร
- มกษ. 9023-2550 : หลักเกณฑ์การปฏิบัติ : หลักการทั่วไปเกี่ยวกับสุขลักษณะอาหาร
- มกษ. 9024-2550 : ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมและแนวทางในการนำไปใช้
- มกษ. 1004-2557 : หลักปฏิบัติสำหรับกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
- มกษ. 4403-2553 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าว
- มกษ. 6401-2558 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
- มกษ. 7420-2552 : การปฏิบัติที่ดีด้านสุขลักษณะสำหรับการแปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น
- มกษ. 9035-2553 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงคัดบรรจุผักและผลไม้สด
- มกษ. 9039-2556 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตผักและผลไม้สดตัดแต่งพร้อมบริโภค
- มกษ. 9041-2557 : หลักปฏิบัติสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรแช่เยือกแข็ง
- มกษ. 9046-2560 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง
- มกษ. 9047-2560 : การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงรวบรวมผักและผลไม้สด
- The General Principles of Food Hygiene : Good Hygiene Practices (GHPs) and the Hazard Analysis and Critical Control Point (HACCP) System (CXC 1-1969), Revised in 2020
- สิ่งแวดล้อม
- Carbon Footprint
- อุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
- การเกษตร ป่าไม้ และการใช้ที่ดิน (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
- กิจกรรมการบริการทั่วไป (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
- มาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
- กิจกรรมดำน้ำ (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
- สถานพักตากอากาศ (รีสอร์ท) ระดับ 1-4 ดาว (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
- Carbon Footprint
รายชื่อลูกค้าที่ได้รับการรับรอง
- รายชื่อลูกค้าที่ได้รับการรับรอง ด้านพืช
- รายชื่อลูกค้าที่ได้รับการรับรอง ด้านสัตว์น้ำ
การตรวจรับรอง
บริการของหน่วยตรวจและรับรอง
สอบถามบริการของหน่วยตรวจและรับรองได้ที่ การตรวจและการรับรอง
ประโยชน์จากการได้รับการรับรอง
สร้างความน่าเชื่อถือ ใช้ประโยชน์ในการส่งออก เพิ่มมูลค่าสินค้าในการขายเข้า Modern trade
เวลาในการตรวจประเมิน
1-2 วัน แล้วแต่ขนาดพื้นที่ของผู้ยื่นคำขอ
ไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ภายในเวลาที่กำหนด
หากไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ภายในเวลาที่กำหนด จะไม่ได้รับใบรับรอง และต้องทำการตรวจประเมินใหม่
การออกใบรับรองหลังจากการตรวจประเมิน
45 วันทำการ
อายุใบรับรอง
- GAP,GMP,GHPs,HACCP มีอายุ 3 ปี
- Organic มีระยะปรับเปลี่ยน 1 ปี และมีอายุใบรับรอง 1 ปี
การตรวจรับรองรายปี
หากได้รับการรับรองแล้วไม่ยินยอมให้หน่วยรับรองเข้าตรวจติดตามในปีถัดไป ไม่สามารถใช้ใบรับรองต่อได้ เนื่องจากไม่สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรอง
การต่ออายุการรับรอง
สามารถยื่นเอกสารก่อนใบรับรองหมดอายุ 180 วัน
มาตรฐานในการส่งออกล้งทุเรียน
มกษ.9047-2560
การตรวจรับรองโรงเพาะฟักและอนุบาล/ฟาร์มเลี้ยงกุ้งทะเล
- กรณีโรงเพาะฟักและอนุบาล เก็บตัวอย่างลูกกุ้งอย่างน้อย 20 กรัม ตัวอย่างน้ำจากแหล่งน้ำ บ่ออนุบาล บ่อพักน้ำ บ่อน้ำทิ้ง ตัวอย่างละ 2 ลิตร
- กรณีฟาร์มเลี้ยงกุ้งทะเล เก็บตัวอย่างเนื้อกุ้งอย่างน้อย 500 กรัม ตัวอย่างน้ำจากแหล่งน้ำ บ่อเลี้ยง บ่อพักน้ำ บ่อน้ำทิ้ง ตัวอย่างละ 2 ลิตร
การให้คำปรึกษาและการฝึกอบรม
ทั่วไป
ขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง
- หน่วยงานให้การรับรอง(Accreditation body) ISO/IEC 17025:2017
- สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
การปรับปรุงระบบการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง
ห้องปฏิบัติการสามารถปรับปรุงประสิทธิผลของระบบการบริหารงานอย่างต่อเนื่องโดยใช้นโยบายคุณภาพ วัตถุประสงค์ด้านคุณภาพ ผลการตรวจติดตามคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมูล การปฏิบัติการแก้ไข การปฏิบัติการป้องกันและการทบทวนการบริหาร
หลักเกณฑ์หรือมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีทดสอบทางเคมี
ใช้มาตรฐานอ้างอิงตาม EURACHEM ฉบับปัจจุบัน
การฝึกอบรม
บริการฝึกอบรมด้านระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ หรือวิชาการที่เกี่ยวข้อง
- ISO/IEC 17025:2017
- การจัดทำเอกสารตามระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017
- Method of Validation
- Uncertainty of Measurement
- การตรวจติดตามคุณภาพภายใน
- การควบคุมคุณภาพของการทดสอบ
- การจัดการเครื่องมือตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017
- การตีความรายงานผลการสอบเทียบเครื่องมือวัด
การฝึกอบรมกระบวนการทดสอบความปลอดภัยอาหาร
มีบริการตรวจติดตามคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการตาม ISO/IEC 17025 ครอบคลุมทั้งด้านจุลชีววิทยาและเคมี
การรับรอง ISO/IEC 17025
การขอการรับรอง ISO/IEC 17025
เพื่อเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าระบบการบริหารงานของห้องปฏิบัติการความน่าเชื่อถือเป็นไปตามสากล และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านวิชาการ
การตรวจติดตามคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการ ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025
มีบริการตรวจติดตามคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการตาม ISO/IEC 17025 ครอบคลุมทั้งด้านจุลชีววิทยาและเคมี
การควบคุมคุณภาพและประกันคุณภาพผลการทดสอบตาม ISO/IEC 17025
- แบบ Internal quality control เช่น Sample blank, QC Sample, Internal control
- แบบ External quality control เช่น เข้าร่วมกิจกรรม Interlab comparison และ PT Provider